วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทานผักอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด


“ผัก” จัดอยู่ในอาหารหมู่ที่5 คือวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งทั้งที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย โดยส่วนใหญ่ผักจะอุดมไปด้วย วิตามิน เอ วิตามินบี วิตามินซี โพแทสเซียม แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัสและอื่นๆขึ้นอยู่กับ ชนิดของผักโดยในบางครั้งกรรมวิธีในการปรุงอาหารก็มีส่วนทำให้สารอาหารในผักเพื่อสุขภาพหลายๆ ชนิดลดลงไปบ้างไม่มากก็น้อย

ผักเพื่อสุขภาพที่ควรรับประทานสด

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรรับประทานสดได้แก่ผักที่มีวิตามินซีสูง เช่นแครอท แตงกวา และมะเขือเทศ โดยนอกจากจะมีวิตามินซีแล้ว ผักต่างๆเหล่านี้ยังมี วิตามินเอ วิตามินบี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นอกจากนั้นยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามสารอาหารเหล่านี้ก็สามารถสลายไปพร้อมกับการปรุงอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินจะสลายตัวเมื่อได้รับความร้อน ดังนั้นหากรับประทานแบบสดๆ ก็จะได้สารอาหารครบถ้วนมากกว่านำไปปรุงสุกนั่นเอง


แต่ในความเป็นจริงการรับประทานผักสดอาจดูไม่ง่ายนัก เนื่องจากผักสดส่วนใหญ่มักจะมีกลิ่นฉุนและรสชาติเฉพาะตัว ดังนั้นวิธีการรับประทานผักสดให้อร่อยควรรับประทานเป็นสลัด ซึ่งน้ำสลัดและผลไม้ชนิดอื่นๆที่เติมลงไปจะทำให้ผักสดรสชาติดีขึ้น หรืออีกวิธีหนึ่งคือการนำผักและผลไม้มาปั่นรวมกันเป็นเครื่องดื่ม เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อปรับรสชาติจากนั้นนำไปแช่เย็นเพื่อให้ได้ความสดชื่น ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีทีเดียว

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรทานแบบปรุงสุก

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทาน ส่วนใหญ่จะมีสารเฉพาะตัวที่หากรับประทานสดจะส่งผลเสียกับร่างกายมากกว่าผลดี เช่นในกะหล่ำปลีสดจะมีสารกอยโตรเจน ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมสารไอโอดีนในร่างกาย ดังนั้นหากรับประทานมากเกินไปก็จะส่งผลต่อต่อมไทรอยด์และทำให้เป็นโรคคอพอกได้ ซึ่งสารชนิดนี้นอกจากจะมีกะหล่ำปลีแล้ว ยังสามารถพบในบล็อกโคลี่และผักกาดขาว ซึ่งนิยมนำมารับประทานสดๆคู่กับน้ำพริกอีกด้วยถึงแม้ในทางการแพทย์จะระบุไว้ว่าต้องรับประทานในปริมาณมากถึงจะส่งผลต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด แต่เพื่อความปลอดภัยในระยะยาวก็ควรนำไปปรุงให้สุกเสียก่อนหรือหากชอบรับประทานแบบสดๆก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและรับประทานผักชนิดอื่นร่วมด้วย


อย่างไรก็ตามหลายคนยังคงมีความเชื่อที่ว่าความร้อนจากกรรมวิธีในการปรุงอาหารจะทำให้สารอาหารอาหารหรือวิตามินต่างๆในผักเพื่อสุขภาพสูญเสียไป ดังนั้นหากจำเป็นต้องปรุงผักให้สุกก่อนรับประทานควรใช้ความร้อนน้อยที่สุดและรับประทานทันทีเพื่อคงคุณค่าของสารอาหารให้ได้มากที่สุด และควรใช้วิธีผัดหรือต้มแทนการลวกเนื่องจากวิตามินที่ออกมาจะยังคงอยู่ในน้ำผัดหรือน้ำแกง ซึ่งหากเรานำมาราดข้าวหรือซดร้อนๆก็จะยังคงได้รับสารอาหารที่ค่อนข้างครบถ้วนอยู่


จะเห็นได้ว่าผักแต่ละชนิดมีวิธีในการรับประทานต่างกัน หากอยากรับประทานให้ได้สารอาหารครบถ้วน ก็ควรเลือกชนิดของผักและวิธีการรับประทานให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้เราก็จะได้ทานผักเพื่อสุขภาพ ที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับร่างกายและดีต่อสุขภาพของเราในทุกๆ วัน ทุกๆ มื้ออาหาร วันนี้เราได้นำเมนูอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์มาฝากค่ะ นั่นก็คือผัดผักกาดขาวกุ้งสด เป็นเมนูผัดผักอร่อยๆ ผักกาดขาวสดๆกรอบๆ กุ้งสดตัวโตๆ หน้าตาน่ารับประทาน รสชาติอร่อยกลมกล่อม เป็นเมนูเด็ดประจำร้านเดอะโฮมของเราเลยค่ะ ลองมาทานกันนะคะ ที่ร้านเดอะโฮม

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

🍐🍐ส้มโอ คุณประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม🍐🍐


ส้มโอ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ citrus maxima เป็นไม้ที่มีขนาดลำต้นจัดอยู่ในขนาดกลางจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับส้ม ถือได้ว่า เป็น ผลไม้ เศรษฐกิจของไทยในด้านการส่งออกจัดเป็นผลไม้โอท๊อปของดีของภาคตะวันออกของไทย ส้มโอพันธ์ที่นิยมปลูกและพบทั่วไปตามท้องตลาดจะมีพันธ์ทองดี ขาวน้ำผึ้ง ขาวใหญ่ ขาวพวง ส้มโอจัดอยู่ในกลุ่มให้สารอาหารจำพวกวิตามินซีในปริมาณสูงในส้มโออุดมไปด้วยสารอาหารที่มีควาจำเป็นต่อร่างกายมากมายหลักก็มี คาร์โบไฮเดรต วิตามินc b2 b3 b6 แคลเซียม ธาตุเหล็ก เป็นต้น ส้มโอที่เห็นว่าสามารถรักษาสารอาหารได้มากขนาดนี้เนื่องจาก ผลของส้มโอมีเปลือกที่หนานั้นเอง นอกจากเนื้อส้มโอแล้ว เรายังสามารถบริโภคเปลือกส้มโอได้อีกด้วย คนสมัยก่อนยังเชื่อว่าเปลือกของส้มโอ สามารถรักษาเหาได้อีกด้วย ในทางจีนส้มโอจัดเป็นผลไม้มงคลใช้ในงานพิธีสำคัญๆส้มโอสามารถนำมาใช้ทำอาหาร เครื่องดื่ม และสกัดมาทำเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย ไม้แพ้ผลไม้สกุลเดียวกันอย่าง ส้ม เรามาดูสรรพคุณทางการแพทย์กันนะคะ


สรรพคุณทางยาและการรักษาทางการแพทย์

ผล ของส้มโอมีประโยชน์ในด้านการขับลมในกระเพราะอาหารบำรุงสายตาและช่วยลดกรดไหลย้อนได้ในส่วน

ดอก ของส้มโอหากรับประทานสดจะช่วยลดอาการปวดกระเพาะอหาร ปวดกระบังลม ขับลมในท้อง ขับเสมหะ

เปลือก ของส้มโอเอามาตำใช้พอกแผลที่เป็นหนอง เป็นฝีเพราะจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและถ้าเอามารับประทานจะช่วยในเรื่องอาการจุกอัดแน่นอกและใช้ขับลมขับเมหะได้อีกด้วย เมล็ดในของผลส้มโอ จะมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการใส้เลื่อน และลำไส้หดตัวผิดปกติ

ราก จะช่วยรักษาอาการไอ เป็นหวัด แก้อาการปวดของท้องน้อยและถ้าหากท่านเป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเลือดออกตามไรฟันส้มโอช่วยท่านได้เพราะในส้มโอมีวิตามินสูงที่จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างเหงือกและยังมีแคลเซียมที่จะช่วยให้ฟันแข็งแรงอีกด้วย


ส้มโอต้านมะเร็ง

ส้มโอเมื่อรับรับประทานผลเข้าไปนอกขากจะได้รถชาติที่อร่อยแล้วคุณรู้ไหวว่าในขาดบริโภคคุณยังได้รับการป้องกันโรคมะเร็งจากการรับประทานอีกด้วยเพราะในแตงโมมีสารอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งเซลล์เมร็งที่กำลังจะก่อตัวได้อีกด้วยและในส้มโอยังสามารถชำระล้างสารพิษตกค้างในรjางกาย

ผิวสวยตาใสด้วยส้มโอ

หากคุณผู้หญิงท่านใดกำลังมองหาผลไม้ที่จะช่วยให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงเปล่งปลั่ง วันนี้จะมาแนะนำส้มโอโอโดยเฉพาะเปลืกเพราะในโบราณผู้หญิงสมัยก้อนได้เอาเปลือส้มโอมาทาหน้าทำให้ผิวผ่องใสและยังให้ดวงตาดูใสอีกด้วยเพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าส้มโอดอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่ววยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงและเปล่งปลัง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงสมัยก่อนจึงดูหน้าใส เพราะผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้พึ่งสารเคมีที่มีสารทำให้ตกค้างบนใบหน้านั้นเองและเจ้าวิตามินนี้เองที่ไปบำรุงสารตาทำให้ดวงตาดูใสสุขภาพดวงตาดูแข็งแรง

ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

ในส้มโอนั้นอุดมไปด้วยวิตามันซี ซึ่งในวิตามินซีที่พบในส้มโอ สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรค UTI หรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบให้กับเราอีกด้วย

ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

โพแทสเซียม คือ สารที่ช่วยควบคุมระดับความมดันเลือดภายในร่างกายเรา และยังคอยกำจัคอลเลสเตอรอลที่ไม่ดีค่อร่างกายเราออกมาด้วย ซึ่งถ้าในร่างกายเรามีโพแทสเซียมอยู่ไม่เพียงพอ ก็อาจเกิดปัญหาหัวใจตามมาทีหลังก็เป็นได้ ซึ่งในส้มโอสามารถให้สารที่จำเป็นต่อร่างกายเหล่านี้แก่เราได้ค่ะ


ส้มโอ ตามตำราไทยแล้วเป็นส่วนสำคัญของเครื่องหอมและเป็นผลไม้ที่ใช้เส่นไหว้ ส้มโอเป็นพืชตระกูลเดียวกับส้มที่มีคนบริโภคอาจจะไม่มมากนักเพราะปัจจุบันมีผลผลิตลดลงและมีราคาแพงขึ้นแต่ อย่างไรก็ตามจากประโยชน์และสรรพคุณแล้วไม่สามารถมองข้ามได้เลย สุดท้ายนี้เรามีเมนูอาหารมาฝากกันอีกตามเคยค่ะ นั่นก็คือเมนูยำส้มโอนั่นเองค่ะ ยำส้มโอเป็นเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์จาดส้มโอและเครื่องเทศ รสชาติจะได้ความเปรี้ยวจากส้มโอ ส่วนน้ำยำจะออกหวานนำเมื่อนำมายำกับเนื้อส้มโอที่มีรสเปรี้ยว ก็จะได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัวมากๆค่ะ สุขภาพดีหาได้ด้วยการใส่ใจดูแลตนเองนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ถั่วพู ผักดีๆที่หลายคนมองข้าม


ถั่วพู เป็นพืชผัก อีกประเภทหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูกไว้บริเวณบ้าน นอกเหนือจากการนำมาประกอบอาหารแล้ว ทุกส่วนของพืชชนิดนี้ยังสามารถนำมาทำประโยชน์ได้ทั้งหมด เรียกว่าเป็นทั้งผักและสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อด้านสุขภาพร่างกายมากมายทีเดียว

มารู้จักถั่วพูกันเถอะ

ถั่วพูเป็นพืชล้มลุก ลำต้นเล็กสีเขียวมักเลื้อยพันกับต้นไม้หรือวัสดุอื่นๆ ในส่วนของใบจะเป็นใบประกอบ โดยมีใบย่อย 3 ใบ โคนใบกลมและส่วนปลายแหลมเป็นรูปใบหอก ดอกสีขาว ม่วง สีน้ำเงิน แดง ออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-12 ดอก มีกลีบเลี้ยง ผลเป็นฝักแบนมีพูหรือปีกบนฝัก 4 ปีก มีสีเขียว ม่วง เหลือง มีทั้งผิวหยาบและเรียบ 1 ฝักจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8-20 เมล็ด เมล็ดมีรูปทรงกลม มีสีขาว น้ำตาล ครีม เหลือง รากที่เป็นส่วนที่อยู่ใต้ดินจะสะสมอาหาร ซึ่งจะมีปมอยู่ใต้ดินจะมีเชื้อไรโซเบียมอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นพืชที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้กับดินทุกชนิด ยกเว้นในดินที่มีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีใช้เมล็ดหรือเพาะกล้า


ประโยชน์ของถั่วพู

1. ช่วยบำรุงกำลัง สำหรับคนที่มีอาการอ่อนเพลียหรืออ่อนล้า การรับประทานฝักอ่อนหรือจะนำเมล็ดแก่ไปตากแห้งมาบดแล้วชงกับน้ำร้อนเพื่อดื่มก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยให้สดชื่นขึ้น เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้

2. ช่วยให้ฟันแข็งแรง เพราะในถั่วพูมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณสูง เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ฟันแข็งแรงขึ้น แถมยังดีต่อการบำรุงกระดูกได้พร้อมกันด้วย

3. ช่วยลดไข้ แก้ร้อนใน ถั่วพูเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น นอกจากจะช่วยลดไข้ คลายอาการครั่นเนื้อครั่นตัวได้แล้ว ยังสามารถแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้

4. มีไขมันอิ่มตัวที่ดีกับร่างกาย ในถั่วพูหากสกัดเพื่อเอาน้ำมันมาใช้ จะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันพืช เพื่อประกอบอาหาร น้ำมันจากถั่วพูไม่ก่อให้เกิดคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้ไม่เสี่ยงกับการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอไม่ให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพเร็ว รับประทานบ่อยๆ ในปริมาณที่พอเหมาะจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

5. ป้องกันโรคมะเร็ง ถั่วพูมีคุณสมบัติช่วยลดการแบ่งเซลล์ของมะเร็งหรือป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง จึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง

6. มีกากใยช่วยระบายท้อง ถั่วพูมีใยอาหารสูง หากนำมารับประทานไม่ว่าจะเป็นแบบดิบหรือสุกกับการทำเป็นเมนูอาหารต่างๆ เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก ยำ แกง เป็นดั่งยาระบาย ช่วยให้การขับถ่ายสะดวก หากเป็นราก สามารถนำมาใช้ทำเป็นยา จะสามารถช่วยแก้อาการปวดมวนท้อง โดยให้รสชาติขมเล็กน้อย

7. ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม หากรับประทานถั่วพูเป็นประจำจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมเพื่อนำไปใช้ได้มากถึง 40-50% เพราะในถั่วพูมีสารขัดขวางกระบวนการดูดซึมที่ต่ำนั่นเอง ซึ่งนอกจากการดูดซึมแคลเซียมที่ทำได้ดีแล้ว ย่อมส่งผลทำให้กระบวนการดูดซึมสารอาหารชนิดอื่นๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย


ส่วนต่างๆ ของถั่วพู ที่นำมาใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพ

ถั่วพูในส่วนต่างๆ ก็สามารถนำไปทำเป็นยาได้ โดยพบได้ในตำรายาโบราณ ซึ่งเป็นการใช้พืชผักสวนครัวมาเป็นยารักษาโรคได้อย่างเห็นผล สำหรับส่วนต่างๆ ที่มักนำมาใช้เป็นยาก็มีดังนี้

ราก ใช้มาต้มดื่ม เพื่อแก้อาการร้อนในตับ หรือหากมีอาการบวมในคอ สามารถใช้รากถั่วพูฝนกับสุราแล้วนำมาดื่ม อีกทั้งรากยังจะช่วยแก้โรคลมพิษ แก้อาการปวดท้องและรักษาสิวกับโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย

หัว สามารถนำมาใช้เป็นยาชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลียของผู้ป่วย โดยนำหัวถั่วพูหั่นตากแห้ง คั่วไฟให้เหลือง ชงกับน้ำร้อนแล้วนำมาใช้ดื่มเหมือนน้ำชา สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถนำมาต้มหรือเผารับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งเมนูนี้อาจจะแปลกสำหรับคนไทย แต่กลับเป็นที่นิยมสำหรับชาวพม่ามานานแล้ว และก็นับเป็นยาบำรุงกำลังอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

เมล็ด ให้คัดเอาเมล็ดถั่วพูมาต้มกินเพื่อบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มกำลังได้พร้อมกัน วิธีคือ นำเมล็ดถั่วพูมาคัด แต่ต้องคัดเอาแต่เมล็ดแก่ที่เป็นสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น ต้มให้สุกแล้วกรองเอาน้ำมาดื่ม หรือนำมาบดก่อนก็ได้ โดยดื่มก่อนทานอาหาร 3 เวลา ก็จะช่วยบำรุงสุขภาพได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวังในการรับประทานถั่วพู

เนื่องจากถั่วพู เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนสูงจากธรรมชาติ และถึงแม้จะสามารถนำถั่วพูมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนก็ตาม แต่ในทุกส่วนของถั่วพูกลับมีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทริปซิน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถย่อยสลายโปรตีนหรือย่อยได้น้อยลง ดังนั้น จึงไม่ควรกินถั่วพูดิบมากจนเกินไป แต่ควรนำมาต้มให้สุกเสียก่อนก็จะได้ประโยชน์ทางสารอาหารอย่างเต็มที่ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวได้แล้ว

ถั่วพูจัดเป็นพืชผักที่มีดีเหนือกว่าพืชตระกูลถั่วทุกชนิด เพราะทุกส่วนของถั่วพูล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างแท้จริง จนนับว่าเป็นพืชใกล้ตัวที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร พร้อมสรรพคุณทางยาครบถ้วนชนิดที่ไม่ควรมองข้ามกันเลยทีเดียว











วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระเทียมของดีมีประโยชน์ อย่าเขี่ยทิ้ง!!


กระเทียม...สรรพคุณเขาไม่ธรรมดา เพราะกระเทียมสดเป็นอาหารหรือเครื่องเทศที่เปี่ยมไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ได้จากพืชเท่านั้น และยังมีสารโดดเด่นประจำตัวที่หากินไม่ได้จากอาหารชนิดไหน เรียกได้ว่าต้องกินกระเทียมเท่านั้นแหละถึงจะได้คุณค่าทางสารอาหารเหล่านี้ไป และใครอยากรู้ว่าประโยชน์ของกระเทียมช่วยลดความเสี่ยงโรคอะไรได้บ้าง เลื่อนลงมาอ่านข้างล่างได้เลย

กระเทียม (ภาษาอังกฤษ: Garlic ชื่อวิทยาศาสตร์: Allium sativum Linn) ในการทำกับข้าวในแต่ละมื้อนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ขาดไม่ได้เลย อาหารมื้อไหนถ้าไม่ได้ใส่ ก็จะทำให้อาหารนั้นขาดรสชาติ ไม่อร่อย กระเทียมมีประโยชน์มากมาย หลายประการ และยังเป็นสมุนไพร ที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อีกด้วย กระเทียมมีสรรพคุณใช้ในการรักษากลากเกลื้อน และอีกหลายๆ อย่าง มาดูกันเลยครับ

ประโยชน์ของกระเทียม

ประโยชน์ทางตรง

ใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร แกงทุกชนิด ผัด ทอด เป็นต้น การทำอาหารทุกอย่างจะต้องมีกระเทียม เป็นส่วนประกอบ จะขาดไม่ได้


ประโยชน์ทางอ้อม

กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยาใช้ในการรักษาโรค กระเทียมมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรา การที่เราทานอาหารทุกมื้อนั้น จะมีกระเทียมอยู่ และเป็นยาไปในตัวอีกด้วย กระเทียมยังสามารถรักษาแผลที่เน่าเปื่อย ที่เป็นหนอง ขจัดพิษสารตะกั่ว และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคเบาหว่านได้อีกด้วย

1. ลดไขมัน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

สารสำคัญที่พบเฉพาะในกระเทียมเท่านั้นคือสารอัลไลซิน ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ไม่เกิน 10% ของคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกาย จึงสามารถบอกได้ว่ากระเทียมมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ และพฤติกรรมของแต่ละบุคคลด้วยที่จะบ่งชี้ได้ว่าความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจมีอยู่มาก-น้อยแค่ไหน

2. บรรเทาอาหารหวัด

ในตำรับยาสมุนไพรไทยบอกไว้ว่า กระเทียมมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส อีกทั้งกระเทียมยังเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ช่วยขยายทางเดินหายใจ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น


ทั้งนี้กระเทียมยังมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ กระเทียมจึงเป็นสมุนไพรอีกตัวที่ช่วยบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะได้ โดยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไอมากขึ้น แนะนำให้ใช้กระเทียมและขิงสดอย่างละเท่ากัน ตำละเอียดแล้วละลายกับน้ำอ้อยสด เสร็จแล้วคั้นจนได้น้ำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดมาจิบแก้ไอ ขับเสมหะ และทำให้เสมหะแห้ง หรือจะคั้นกระเทียมกับน้ำมะนาว แล้วเติมเกลือใช้จิบหรือกวาดคอก็ได้

3. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

กระเทียมเป็นพืชที่มีไฟเบอร์อยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งไฟเบอร์ที่อยู่ในกระเทียมมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ทั้งนี้ควรกินกระเทียมสดที่ยังไม่ถูกการปรุงสุก เพราะความร้อนจะลดคุณค่าทางสารอาหารในกระเทียม ส่งผลให้สรรพคุณของกระเทียมลดน้อยลง

4. ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียด

มีการวิจัยพบว่ากระเทียมมีสาร Gastroenteric allechalcone ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้จึงช่วยลำเลียงอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้เกิดการขับลม ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยได้ อีกทั้งเมื่อรับประทานกระเทียมสดเข้าไปจะช่วยเพิ่มน้ำย่อยและน้ำดีได้อีกด้วย โดยขนาดรับประทานกระเทียมเพื่อขับลมให้ใช้กระเทียมสด 5-10 กลีบ รับประทานหลังอาหารหรือพร้อมอาหาร

5. รักษากลากเกลื้อนที่เกิดจากเชื้อรา

เนื่องจากน้ำมันสกัดจากกระเทียมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ดังนั้นโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน กระเทียมก็สามารถบรรเทาอาการให้ได้ โดยให้ใช้กระเทียมสด ฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ถูบริเวณผิวหนังที่เป็นกลาด เกลื้อน วันละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นให้ขูดผิวด้วยไม้บาง ๆ ที่ทำการฆ่าเชื้อแล้ว (แช่แอลกอฮอล์ 70% หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) พอให้ผิวเป็นสีแดงอมชมพูแล้วจึงทายารักษากลาก เกลื้อนทับอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ยาซึมลงบนผิวหนังได้ดีขึ้น

6. ลดอาการคัน ลดพิษแมลงสัตว์กัดต่อย

น้ำมันในกระเทียมสามารถนำมาทาลดพิษคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยใช้กระเทียมสดทุบพอมีน้ำออก แล้วนำกลีบกระเทียมมาทาถูจุดที่โดนแมลงสัตว์กัดต่อย


นอกจากนี้กระเทียมยังเป็นสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติซึ่งระบุการใช้กระเทียมในตำรับยาแก้ลมอัมพฤกษ์ ซึ่งมีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า บรรเทาอาการเหน็บชา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำว่า ไม่ควรทานกระเทียมสดในปริมาณที่มากเกินไปนะคะ โดยสามารถทานกระเทียมขนาดกลาง ๆ ได้ไม่เกินวันละ 1 หัว เพราะถ้าทานมาก ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดโลหิตจาง หรือภาวะเลือดแข็งตัวช้าได้ ดังนั้นในคนไข้ที่ต้องเข้าผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่ทานยาลดการแข็งตัวของเลือดอยู่ จึงไม่ควรรับประทานกระเทียม

เม็ดแมงลัก สมุนไพรเด็ด ช่วยให้หุ่นสวย สุขภาพดี

เม็ดแมงลัก ไม่ได้มี สรรพคุณ ในการลดน้ำหนักโดยตรง แต่หากต้องการตัวช่วยเพื่อควบคุมการรับประทานอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เม็ดแมง...