วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เม็ดแมงลัก สมุนไพรเด็ด ช่วยให้หุ่นสวย สุขภาพดี


เม็ดแมงลักไม่ได้มีสรรพคุณในการลดน้ำหนักโดยตรง แต่หากต้องการตัวช่วยเพื่อควบคุมการรับประทานอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เม็ดแมงลักก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจนะคะ ทั้งนี้ เม็ดแมงลัก สามารถรับประทานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรด้วย

เม็ดแมงลัก ถือเป็นสมุนไพรที่มีราคาถูก และหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป และเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพร ย่อมต้องมีสรรพคุณดี ๆ ที่น่าสนใจหลายอย่าง ส่วนประโยชน์ของเม็ดแมงลักจะมีอะไรบ้างมาดูกันเลยค่ะ เม็ดแมงลัก ช่วยขับคอเลสเตอรอลไม่ดีออกจากร่างกาย โดยเส้นใยของแมงลักจะดูดซับไขมันไว้ เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยกากใยพวกนี้ได้ ไขมันไม่ดี (LDL-cholesterol) ก็จะถูกขับออกมาพร้อมกับเส้นใยของแมงลัก แต่ไม่มีผลใด ๆ ต่อ HDL-cholesterol ที่เป็นไขมันดี ดังนั้นการรับประทานเม็ดแมงลักเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจด้วยเม็ดแมงลัก มีลักษณะนิ่ม ลื่น กลืนง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาช่วงลำคอ และการที่เม็ดแมงลักพองตัวมาก ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ช้าลง จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องการให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลลดลงด้วยเม็ดแมงลัก มีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากบริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือกขาว และยังมีกากอาหาร ทำให้อุจจาระไม่เกาะลำไส้ ซึ่งช่วยให้ผู้รับประทานสามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเม็ดแมงลักจะไปกระตุ้นประสาทที่อยู่รอบ ๆ ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้เกิดปวดท้องหนักเม็ดแมงลัก มีสรรพคุณในการควบคุมน้ำหนัก เนื่องจากเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน และสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า ดังนั้นเมื่อนำมารับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และสามารถควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทานได้เป็นอย่างดี

แต่อย่างไรก็ตามต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ผักหวานป่าผักบ้านๆที่ประโยชน์ล้นหลาม


ผักหวานป่า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์และสรรพคุณมาก ๆ เลย คนส่วนใหญ่ชอบนำ ผักหวานป่า มาจิ้มกับน้ำพริก แต่วันนี้เราก็มีเรื่องของ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า มาฝากกันอีกเช่นเคย เพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ขึ้นสิ่งดี ๆ ที่ร่างกายของคนเราควรจะได้รับจากพืชผักสมุนไพรต่าง ๆ ว่าแล้วเราก็มาทำความรู้จักกับ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า กันบ้างดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง และมีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างไร และช่วยรักษาโรคอะไรได้บ้างนะ มาดูกันเลยดีกว่ากับ สรรพคุณของผักหวานป่า และ ประโยชน์ของผักหวานป่า

คุณค่าทางอาหารของผักหวานป่า
ผักหวานป่าจัดเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแหล่งโปรตีน วิตามินซี และพลังงาน นอกจากนี้ยังมีปริมาณเยื่อใยพอสมควรช่วยในการขับถ่ายให้ดีขึ้น ในยอดและใบสดที่รับประทานได้ 100 กรัม จะประกอบด้วยน้ำ 76.6 กรัม โปรตีน 8.2 กรัม คาร์โบไฮเดท 10 กรัม เยื่อใย 3.4 กรัม เถ้า 1.8 กรัม แคโรทีน 1.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 115 มิลลิกรัม และค่าพลังงาน 300 กิโลจูล (KJ) อย่างไรก็ตามการบริโภคผักหวานป่าควรปรุงให้สุกเสียก่อน เนื่องจากการบริโภคสด ๆ ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการเบื่อเมา เป็นไข้ และอาเจียนได้ การนำผักหวานป่ามาปรุงอาหารนั้นใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็นยอดและใบอ่อน นำช่อผลอ่อน ๆ สำหรับผลแก่อาจลอกเนื้อทิ้งนำเมล็ดไปต้มรับประทานได้เช่นเดียวกับเมล็ดขนุน มีรสหวานมัน การปรุงอาหารจากผักหวานป่า นอกจากต้ม ลวก เป็นผักจิ้มน้ำพริกแล้วอาจนำไปทำแกง แกงเลียง หรือต้มจืดได้เช่นกัน

ประโยชน์ของผักหวานป่า
ผักหวานป่าถือว่าเป็นเครื่องยาไทยจำพวกผักจะใช้ส่วนรากมาทำยา รากมีรสเย็นสรรพคุณ แก้ไข้ แก้ดีพิการ แก้เชื่อมมัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้กระสับกระส่าย พบว่าผักหวานป่าจัดเป็นทั้งอาหารและยาประจำฤดูร้อนแก้อาการของธาตุไฟได้ตามแพทย์แผนไทย ส่วนยอดก็นิยมนำมาปรุงอาหารมีรสหวานกรอบช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำและระบายความร้อนหรือใช้ปรุงเป็นยาเขียวเพื่อลดไข้ ลดความร้อน ปัจจุบันพบว่ามีการนำมาพัฒนาเป็นชาผักหวานป่าทำเป็นเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ

สรรพคุณของผักหวานป่า
ส่วนของลำต้นจะใช้แก่นผักหวานต้มรับประทานน้ำเป็นยาแก้ปวดตามข้อหรือปานดงหรือจะใช้ต้นผักหวานกับต้นนมสาวเป็นยาเพิ่มน้ำนมแม่หลังคลอดบุตร รากต้มรับประทานน้ำเป็นยาเย็นแก้พิษร้อนในแก้น้ำดีพิการและแก้ปวดมดลูก

ส่วนที่ใช้ประโยชน์
ลำต้น ใช้ประโยชน์ในทางเป็นพืชสมุนไพรอย่างหนึ่ง ยอดอ่อน ดอกอ่อน และ ผลอ่อนใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น ต้ม ผัด แกง ทอด ส่วน ผลสุกนำมาต้มให้สุกและรับประทานเนื้อข้างใน

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

กระเทียม ของมีประโยชน์จากก้นครัว


กระเทียม (Garlic) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativum Linn. ซึ่งครัวไทยรู้จักเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น

การใช้กระเทียมเจียวโรยหน้าอาหาร หรือใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในเครื่องแกงชนิดต่างๆ โดยเฉพาะเป็นตัวช่วยแต่งกลิ่นและรสร่วมกับมะนาวในน้ำพริกกะปิ แม้แต่พริกน้ำปลาหรือน้ำจิ้มรสแซบก็จะลืมกระเทียมไปไม่ได้ นอกจากนี้ใบและหัวกระเทียมสดๆ ยังเป็นผัก รวมถึงกระเทียมดองของอร่อย

กระเทียมยังเป็นสมุนไพรแก้ไขบรรเทาปัญหาสุขภาพของชาวบ้านมาโดยตลอด หมอพื้นบ้านไทยใช้กระเทียมสดรักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน โรคบิด ป่วง แก้ไอ และกระจายโลหิต กระทั่งเป็นที่สรุปได้ว่า กระเทียมเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเด่น 2 ประการ คือ ใช้ทารักษาโรคผิวหนัง และรับประทานแก้โรคความดันโลหิตสูง

สรรพคุณของกระเทียม มีดังนี้
1. ฆ่าเชื้อรา คือ กลาก เกลื้อน และเชื้อราที่เกิดตามเล็บ หนังศีรษะและผม
2. ฆ่าเชื้อยีสต์ชนิดที่ทำให้เกิดลิ้นขาวเป็นฝ้าในเด็กทารก และทำให้เกิดระดูขาวในหญิงที่ตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ
3. ลดความดันโลหิตสูง
4. ลดไขมันและคอเลสเตอรอล
5. ป้องกันผนังหลอดเลือดหนาและแข็งตัว
6. ลดน้ำตาลในเลือด
7. ฆ่าหรือยับยั้งเชื้อแบคทีเรียแทบทุกชนิด กล่าวคือ มีสารอัลลิซิน ที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่มักทำให้เกิดโรคได้ถึง 15 ชนิด โดยเฉพาะยับยั้งเชื้อพวกที่ดื้อยาเพนนิซิลินได้ดีกว่าเชื้อพวกที่ไม่ดื้อยาอีกด้วย นอกจากนี้ ยังฆ่าเชื้อบิดที่มีพิษต่อลำไส้ได้ดี โดยมีสารที่สำคัญคือกาลิซิน รวมทั้งสามารถยับยั้งเชื้อบิดเทียม ซึ่งไม่รบกวนแบคทีเรียตัวอื่นที่มีประโยชน์ต่อลำไส้
8. ยับยั้งเชื้อต่างๆ เช่น เชื้อที่ทำให้เกิดฝีหนอง และใช้รักษาแผลสด แผลที่เป็นหนอง คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ เชื้อวัณโรค และเชื้อปอดบวม
9. รักษาไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่
10. เป็นยาขับเสมหะและมีฤทธิ์ขับเหงื่อและขับปัสสาวะ
11. รักษาโรคไอกรน
12. แก้หืดและโรคหลอดลม
13. แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย
14. ควบคุมโรคกระเพาะ คือมีสารเอเอส 1 ช่วยยับยั้งไม่ให้น้ำย่อยอาหารมาย่อยแผลในกระเพาะ และยังช่วยรักษาโรคตับอ่อนอักเสบชนิดรุนแรงได้ด้วย
15. ขับพยาธิต่างๆ ได้หลายชนิด ได้แก่ พยาธิเข็มหมุด พยาธิแส้ม้า พยาธิเส้นด้าย และมีรายงานทดสอบจากอินเดียว่า กระเทียมมีสารไดอัลลิลไดซัลไฟด์ มีฤทธิ์ใช้ฆ่าพยาธิไส้เดือนได้ดี
16. แก้เคล็ดขัดยอกและเท้าแพลง เพราะมีสารอัลลิซินเป็นตัวช่วยทำให้เลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่ทาถูนวดยาได้ดีมากขึ้น
17. แก้ปวดข้อและปวดเมื่อย
18. ต่อต้านเนื้องอก
19. กำจัดพิษตะกั่ว
20. บำรุงร่างกาย ประเทศญี่ปุ่นได้ค้นพบสารในกระเทียมชื่อสคอร์ดินิน ไม่มีกลิ่น แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง รวมทั้งช่วยให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโตและช่วยลดไขมันในร่างกาย

ยังมีผู้พบว่าในกระเทียมมีธาตุเจอร์เมเนียมค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการเกิดมะเร็ง โรคหืด โรคไต โรคตับอ่อนและอาการท้องผูก รวมถึงมีสารชักนำวิตามินบี 1 เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้นเท่าตัว โดยรวมเป็นสารอัลลิลไทอะมิน ทำให้วิตามินบี 1 ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้นถึง 20 เท่า

วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2561

กล้วยหอม…ผลไม้มหัศจรรย์


มีผู้เชี่ยวชาญและนักโภชนาการจำนวนไม่น้อยที่ชอบแนะนำให้ทานกล้วยหอมเป็น อาหารเช้า เพื่อให้พลังงานดีๆ แก่ร่างกายก่อนที่จะเริ่มต้นวันใหม่ จะทานพร้อมน้ำนมถั่วเหลือง เสริมด้วยธัญพืชจำพวก งาดำ จมูกข้าวสาลี ซีเรียลอบกรอบ เติมความหวานด้วยน้ำผึ้งอีกซักช้อน ก็จะทำให้คุณพร้อมลุยงานได้ดี

คุณประโยชน์ของกล้วยหอม
• กล้วยหอม มีสารอาหารที่จำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิ โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี สารเพ็กติน รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และยังเป็นผลไม้มีฤทธิ์เย็นช่วยผ่อนร้อนได้
• ในกล้อยหอมมีน้ำตาล 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที
• กล้วยหอมยังมีประโยชน์ช่วยให้คลายความซึมเศร้า เพราะในกล้วยหอมมี กรดอะมิโนชื่อ Tryptophan ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนเป็น Serotonin สารกระตุ้นที่ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
• วิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมก็มีอยู่มากในกล้วยหอม ยังช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ให้ร่างกายฟื้นตัวจากการขาดสารนิโคติน
• ส่วนธาตุเหล็กในกล้วยหอมช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินช่วยลดภาวะโลหิตจางได้
• ช่วยลดการเป็นแผลในกระเพาะอาหาร และอาการจุกเสียดแน่นท้อง
• เส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดปัญหาท้องผูก

สาวๆ ออฟฟิศที่อยากลด ละ เลิก ขนมจุบจิบในช่วงบ่าย หากลองทานกล้วยหอมทีละน้อยทุกๆ 2 ชั่วโมง สามารถช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิกลงไปได้

นี่แค่ส่วนหนึ่งของประโยชน์และคุณค่าจากผลไม้กล้วยๆ เท่านั้น ถูกและดี แถมหาทานง่ายแบบนี้ จะไม่ให้เป็นผลไม้สุดโปรดของใครหลายคนได้อย่างไร

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ และ สรรพคุณของมะระ


หลายคนอาจจะคุ้นหูกับคำพูดที่ว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา กันใช่ไหมล่ะคะ ประโยนชน์และสรรพคุณของมะระก็เฉดเช่นเดียวกันกับคำพูดโบร่ำโบราณนี้ค่ะ เพราะมะระก็จัดว่าเป็นสมุนไพรที่ดีนักแลอีกทั้ง สรรพคุณของมะระ ก็มีมากโข และวันนี้เราก็มีเรื่องราวของ สรรพคุณของมะระ และ ประโยชน์ของมะระ มาฝากทุกท่านกันด้วยนะคะ มาดูกันดีว่า สรรพคุณของมะระ และ ประโยชน์ของมะระ มีอะไรกันบ้าง

สรรพคุณของมะระ
อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวกหรือเผาไฟแล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ

คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีนซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ

นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายเพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3 , เบต้าแคโรทีน , ไฟเบอร์ , ธาตุเหล็ก , โพแทสเซียม , เป็นต้น

เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้ , มะระต้มจับฉ่าย , ผัดะมะระหมูสับ , มะระผัดกุ้ง , มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุงอาหารหรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทานจะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ

แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะเนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่างอย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายด้วยค่ะ

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561

ตำลึง สรรพคุณไม่ไก่กา แม้เป็นผักริมรั้วธรรมดา สรรพคุณทางยาอย่างเยอะ !


ตำลึงเป็นผักริมรั้วที่หากินได้ง่าย มีให้กินตลอดทั้งปี แถมยังราคาถูก นำมาประกอบอาหารก็ทำได้หลากหลายเมนู และหลายคนก็เคยกินตำลึงมาไม่รู้ตั้งเท่าไร แต่เคยทราบสรรพคุณของตำลึงกันไหมคะว่า ผักสมุนไพรตำลึง สรรพคุณเขาแพรวพราวขนาดไหน เอาเป็นว่ากระปุกดอทคอมจะพามาดูประโยชน์ของตำลึง รวมไปถึงสรรพคุณทางยาของตำลึงกันค่ะ

ตำลึง ชื่อทางวิทยาศาสตร์ สรรพคุณมีอะไรบ้าง
ต้นตำลึงมักจะขึ้นตามรั้วบ้าน ที่สำคัญมักจะขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในฤดูฝน แต่เห็นตำลึงบ้าน ๆ อย่างนี้ก็มีชื่อทางวิทยาศาสตร์กับเขาเหมือนกันนะคะ แถมตำลึงยังมีชื่อสามัญ และชื่อเรียกตามท้องถิ่นอีกหลายชื่อ ตามนี้เลย

ตำลึง ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Coccinia grandis Voigt และยังมีชื่อสามัญของตำลึงหรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Ivy gourd ด้วยนะคะ ส่วนตำลึงในชื่อบ้าน ๆ นั้นเรียกกันอย่างหลากหลาย ทั้งตำลึง สี่บาท (ภาคกลาง) ผักแคบ (ภาคเหนือ) ผักตำนิน (ภาคอีสาน), แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) เป็นต้น

ลักษณะทางพฤษศาสตร์ของตำลึง
ตำลึงจัดเป็นพืชในตระกูลไม้เลื้อย มีใบเป็นใบเดี่ยว มีมือเกาะ ใบตำลึงจะแผ่เว้าเป็น 5 แฉก ขนาดใบตำลึงมีความกว้างประมาณ 5-8 เซนติเมตร โคนใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลมมน ผิวใบเกลี้ยง ก้านใบยาว 3-6 เซนติเมตร

ดอกตำลึงมีสีขาว เป็นดอกเดี่ยว แยกเพศ ดอกตำลึงเพศผู้จะมีขนาด 4-6 เซนติเมตร 1 ดอก มีอยู่ 5 กลีบ เกสรตัวผู้ 3 อัน ส่วนดอกตำลึงเพศเมีย เกสรจะแยกเป็น 3-5 แฉก ส่วนกลีบดอกเหมือนดอกตำลึงเพศผู้ทุกประการ

ตำลึงมีผลด้วยนะคะ ผลตำลึงมีรูปทรงป้อม ขอบขนาน ขนาดผลกว้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ถ้าผลตำลึงอ่อนจะมีสีเขียว ผลตำลึงแก่จะมีสีส้มออกแดง ข้างในผลตำลึงจะมีเมล็ดลักษณะแบนรี ขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร จำนวนมาก

ตำลึง สรรพคุณทางยาก็น่าเด็ดไม่น้อย
สรรพคุณของตำลึงมีประโยชน์แทบจะทุกส่วนของต้นเลยก็ว่าได้ โดยสามารถจำแนกสรรพคุณทางยาของตำลึงได้ดังนี้
- ใบ มีรสเย็น สรรพคุณดับพิษร้อน ถอนพิษ แก้แสบคัน บรรเทาเริม งูสวัด โดยนำใบมาขยี้คั้นเอาแต่น้ำ แล้วทาบริเวณที่เป็น
- เถา มีรสเย็น สรรพคุณช่วยรักษาโรคตาเจ็บ ใช้แก้ตาฟาง ตาช้ำ โดยใช้เถาโขลกพอแหลก แล้วนำมาประคบตา
- ดอก ใช้แก้คัน คั้นเอาแต่น้ำ มาทาบริเวณที่คัน
- ผล รักษาโรคผิวหนัง รักษาอาการอักเสบของหลอดลม และช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยคั้นน้ำจากผลสดมาดื่มวันละ 2 ครั้ง
- เมล็ด นำมาตำกับน้ำมันมะพร้าว ใช้แก้หิด
- ราก ใช้ต้มกับน้ำดื่มลดไข้ ลดอาเจียน
- ต้น ใช้กำจัดกลิ่นตัว น้ำต้มจากต้นตำลึงรักษาเบาหวานได้

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

ผักโขมผักพื้นบ้านชั้นดี


พืชผักพื้นบ้านชั้นดีของคนไทย ที่ปู่ย่าตาทวดของเรารู้จักกินและใช้ประโยชน์มานาน บางท้องที่เรียกว่า “ผักขม” บางคนก็เรียกว่า ผักโขมบ้าน หรือ Amaranth เป็นพืชล้มลุกพุ่มเตี้ยที่แตกกิ่งเล็กกิ่งน้อยออกไปมากมาย พร้อมกับมีหนามแหลมคมซ่อนไว้ที่ซอกใบ มีทั้งแบบที่ลำต้นเป็นสีเขียว และลำต้นเป็นสีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อสีม่วงปนเขียว เมล็ดมีขนาดเล็กเป็นสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ผักพื้นบ้านชั้นดีจากแดนอีสาน มากด้วยกากใย และเบต้าแคโรทีนที่ซ่อนไว้ในความขม

ชาวพื้นเมืองโบราณของเม็กซิโกนาม “แอสแท็ก” รู้จักและกินเจ้าผักโขมนี้กันมานานเกินกว่า 2,000 ปีแล้ว แต่เขากินเมล็ดกัน ส่วนพี่ไทยเราชอบใบเขียวๆ ที่อุดมด้วยวิตามินเอ กรดอะมิโน และสารอาหารตัวสำคัญๆ ไว้อย่างสุดยอด

ในแง่ของคุณค่าทางโภชนาการแล้ว ถือว่าเป็นที่สุดของพืชผักสมุนไพรอีกชนิดหนึ่ง เพราะมากด้วยสารอาหารสำคัญไว้อย่างเพียบพร้อมทุกตัว และแต่ละตัวก็มีปริมาณสูงมาก อย่างวิตามินซีที่ให้ถึง 120 มก. ฟอสฟอรัสสูงถึง 76 มก. และแคลเซียม 341 มก. ในปริมาณแค่ 100 กรัมเท่านั้น นี่ยังไม่รวมธาตุอื่นๆ อย่างโปรตีน วิตามินบี 1-บี 2 หรือธาตุเหล็ก ที่อัดแน่นอยู่ในใบเขียวเล็กๆ กว้างแค่ 3-5 ซม. เท่านั้น

ที่สุดจริงๆ ต้องเป็นกากใยอาหารที่เป็นตัวช่วยดักและจับสารไนไตรต์ที่ปนเปื้อนมากับน้ำดื่ม หรืออาหารจำพวกเนื้อที่ต้องผ่านการหมัก อย่างไส้กรอก แหนม ซึ่งอาหารเล่านี้มีสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้น การกินผักโขมบ้านจึงเป็นการลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง รวมทั้งยังได้เพื่อนคู่หูชั้นดีอย่างเบต้าแคโรทีน ตัวพิฆาตมะเร็งร้ายในปริมาณที่สูงถึง 558.76 มก. มาช่วยอีกแรง ก็ยิ่งทำให้โอกาสเป็นมะเร็งแทบจะเป็นศูนย์สนิททีเดียว

ประโยชน์ทางยาของผักโขมบ้านคือ ใบสดใช้ตำพอก ช่วยรักษาแผลพุพอง ลำต้นกินแก้อาการจุกเสียด แน่นหน้าอก ทั้งยังแก้ไอ แก้อาการตกเลือด และช่วยขับปัสสาวะได้อีกต่างหาก

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

เห็ดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย


เห็ด มีสารพัดประโยชน์นาๆชนิด ของเห็ดต่างๆในโลก ในประเทศไทยก็หาพบได้ง่าย เห็ดเหล่านี้ให้คุณค่าทางสุขภาพที่ดีเยี่ยม เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยลดไขมัน มีใยอาหาร เสริมสร้างภูมิต้านทาน รวมไปถึงเสริมสมรรถภาพด้านต่างๆ


1. เห็ดหอม หรือเห็ดชิตาเกะ
เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2 สูง พอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูงช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัด ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารต้นตำรับ “อมตะ”


2. เห็ดหูหนู
เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายดีขึ้น รวมทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต


3. เห็ดหลินจือ
มีสารสำคัญ เบต้ากลูแคน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูงปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์อีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย รวมทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส


4. เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง
รูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มีให้เลือกทั้งแบบสดหรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด โดยสารบางอย่างในเห็ดนี้ไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส (aromatase) ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลงก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย


5. เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ
เห็ดสามอย่างนี้อยู่ตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์ มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และ โรคกระเพาะได้


6. เห็ดฟาง
เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล


7. เห็ดเข็มทอง
เป็นเห็ดสีขาว หัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้ ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง


8. เห็ดโคนหรือเห็ดปลวก
ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่าน้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบาง ชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์


9. เห็ดเผาะหรือเห็ดถอบ
นิยมกัน คือ แกงเผ็ด เวลาเคี้ยวแล้วให้ความรู้สึกกรอบ มัน เพราะเห็ดเผาะกรอบ ข้างในกลวง เวลาเคี้ยวแล้วดังเผาะทุกๆครั้ง นิยมกินเห็ดระยะที่อ่อนอยู่ โดยนำไปแกงคั่ว และผัด หรือกินสดเป็นผักจิ้มน้ำพริก รักษาบาดแผล ทำให้กระชุ่มกระชวย บำรุงร่างกาย ชูกำลัง แก้ช้ำใน


10. เห็ดขอนขาวหรือเห็ดมะม่วง
เห็ดขอนมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ไขพิษ ช่วยระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น สำหรับเห็ดกระด้างสดหรือแบบแห้ง สามารถนำมาต้มกับน้ำจนเดือดให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนเพลียจากการทำงานหรือไม่แข็งแรงเนื่องจากเพิ่งฟื้นจากไข้ สมรรถภาพทางเพศไม่ค่อยจะดี รับประทานทั้งน้ำและเนื้อเห็ดเป็นประจำจะทำให้ร่างกายแข็งแรง จากงานวิจัย พบว่า “แคปซูล” จากสารสกัดเห็ดกระด้าง สามารถลดไขมันในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ติดเชื้อ HIV ได้ผลดี จะทำให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาวต่อไปได้อีก สำหรับราคาของเห็ดกระด้างค่อนข้างสูงกว่าเห็ดพื้นเมืองชนิดอื่นๆ จึงได้รับการพัฒนาเพื่อการเพาะปลูกเป็นการค้า


วันนี้ขอแนะนำเมนู “แกงเห็ดรวม” อาหารพื้นบ้านสุดแซ่บของชาวอีสาน ที่ถูกปากถูกใจของใครหลายๆคน รสชาติเห็ดจะหวานๆ แถมมีให้ทานหลายชนิด น้ำแกงซดคล่องคออร่อยสุดๆ กินกับข้าวเหนียวแซ่บอีหลีเด้อ!!! มาทานเมนูอร่อยๆ ได้ที่ร้าน The Home Ubon ถนน เลี่ยงเมือง เทศบาลนครอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 085 311 3331 เปิดบริการทุกวัน 17.00-00.00 น.

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561

โหระพา สมุนไพรมากประโยชน์


โหระพานั้น ยังเป็นสมุนไพรที่เรียกได้ว่า เป็นแหล่งของสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรค เช่น โรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็ง

ข้อความ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบนะคะ พบว่าในโหระพา 1 ขีดนั้น จะมีเบต้าแคโรทีนสูง คือ 452.16 ไมโครกรัม ใบโหระพามีกลิ่นเฉพาะใช้เป็นผักสด ใช้ปรุงแต่งกลิ่นอาหารและมีธาตุแคลเซียมสูงด้วย

ข้อความ
แต่ในวันนี้เราจะมากล่าวถึงสรรพคุณของโหระพาที่มีมากมายเท่าที่เราเคยทราบกันมาค่ะ ทั้งนี้ก็เพราะว่านอกจากจะเป็นอาหารแล้ว โหระพายังเป็นสมุนไพรด้วย เพราะมีสรรพคุณทางยาอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

1. โหระพาสามารถแก้อาการไข้ ปวดศรีษะ ขับเหงื่อ ขับลม ขับเสมหะ ขับพยาธิ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ช่วยเจริญอาหาร โดยใช้ยอดอ่อนต้มกับน้ำรับประทานเป็นชาหรือรับประทานเป็นผักสด
2. โหระพาสามารถใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายอ่อน ๆ เพื่อแก้อาการท้องผูก โดยนำเมล็ดแก่แช่น้ำให้พองตัวเต็มที่รับประทานกับขนมหวานโดยผสมกับน้ำหวานและน้ำแข็ง
3. โหระพาสามารถใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบเป็นหนอง โดยบดใบโหระพาแห้งให้เป็นผงทาบริเวณที่เป็น
4. โหระพาสามารถบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน โดยคั้นน้ำจากใบโหระพาสด ประมาณ 1ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอ้อย 2ช้อน รับประทานวันละ 2ครั้ง พร้อมกับน้ำอุ่น
5. โหระพาสามารถแก้สะอึก โดยใช้ใบโหระพาสดหรือแห้งพร้อมขิงสดแช่ในน้ำเดือดรับประทานในขณะที่น้ำยังร้อน
6. โหระพาสามารถนำมาทำเป็นน้ำมันโหระพาสามารถฆ่ายุงและแมลงได้
7.เมล็ดของโหระพาก็มีประโยชน์เช่นกันนะค่ะ เพราะว่าหากเรานำเมล็ดของโหระพาที่แก่แล้วแช่น้ำใช้พอกแผลบรรเทาอาการฟกช้ำ

เป็นอย่างไรกันบ้างล่ะคะ ในเรื่องของประโยชน์ของใบโหระพา ต้องบอกว่านอกจากจะสร้างในเรื่องของกลิ่นของอาหารให้น่าชวนให้น่ารับประทานแล้วเนี่ย ในเรื่องของสรรพคุณต่างๆ วิตามินแร่ธาตุต่างๆนั้น โหระพา ก็มีไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นหากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบทานใบโหระพาในอาหาร ก็ต้องเปลี่ยนใจเสียใหม่ได้แล้วนะคะ เพราะประโยชน์มากขนาดนี้ เขี่ยทิ้งก็เสียดายแล้วล่ะค่ะ

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของพริกป่น ที่มีมากกว่ารสชาติที่เผ็ดร้อน


พริกป่น เป็นอาหารหรือส่วนประกอบในอาหารที่มีมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีวิธีการที่นำไปใช้ประกอบอาหารมากมาย อาทิ การนำมาเป็นเครื่องปรุงอาหารที่เพิ่มรสชาติภายในร้านอาหารตามสั่ง หรือร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งหากพูดถึงพริกป่นส่วนใหญ่ทุกคนมักจะนึกถึงรสชาติที่เผ็ดร้อนของพริกเป็นอันดับแรก โดยไม่เคยรู้เลยว่าในรสชาติที่เผ็ดร้อนนั้นมีคุณค่าทางอาหารและประโยชน์มากมาย ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. ในพริกมี วิตามินเอ, วิตามินซี, แคลเซียม และธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันหัวใจ
2. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
3. ในพริกมีสารที่เรียกว่า แคปไซซิน ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว
4. ในสารที่เรียกว่า แคปไซซิน ในพริกยังมีความสามารถช่วยกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และมะเร็งผิวหนังกับมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยไม่ทำลายเซลล์ดีในร่างกาย
5. พริกป่นสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อหลัง
6. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
7. ใช้ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก
8. ช่วยคลายเครียด
9. พริกป่นช่วยลดไขมัน ป้องกันลิ่มเลือดจับตัว
10. ช่วยขยายหลอดลม ช่วยขับเสมหะและเปิดคอให้โล่งขึ้น ในกรณีคนที่เป็นภูมิแพ้ การกินรสเผ็ดจะช่วยได้ดี
11. ในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้น ให้เกิดกระบวนการดีท็อกซ์หรือทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง
12. พริกป่นช่วยไม่ให้เมือกเสียๆ มาจับตัวกันภายในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
13. ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของโลหิต ขับเหงื่อ

รู้ประโยชน์ของพริกป่นแล้ว ลองหันมาทานพริกที่มีรสชาติเผ็ดร้อนกันดูเพื่อสุขภาพที่ดี แต่อย่าลืมว่าเมื่อมีประโยชน์ก็มีโทษเช่นกัน ในคนที่เป็นโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะอาหาร การทานพริกป่นที่มีรสชาติเผ็ดร้อนอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและก่อเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้เช่นกัน ซึ่งไม่เพียงที่กระเพาะอาหารเท่านั้นในส่วนที่เป็นแผลที่อื่นๆในระบบทางเกินอาหาร เช่น ริดสีดวงทวาร และแผลในลำไส้ ก็อาจเกิดการระคายเคืองเช่นกัน ดังนั้นควรเลือกทานในเวลาที่หายจากโรคหรือแผลในระบบทางเดินอาหารแล้วและทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดี

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2561

สรรพคุณฟักทองที่ได้อ่านแล้วต้องชอบกินแน่นอน


ฟักทองนั้นเป็นพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูงมากเมื่อเทียบกับผักผลไม้อื่นๆ อีกทั้งยังมีแคลอรีต่ำ จึงทำให้ฟักทองนั้นเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการควบคุมอาหาร ประโยชน์จากฟักทองนั้นได้มาจากหลายๆส่วน ไม่ใช่ได้มาจากเพียงผลฟักทอง อาทิเช่น

ใบฟักทอง
ใบอ่อนของฟักทองนั้นสามารถรับประทานได้ โดยมีการกินกันในหลายภูมิภาค เช่นในทวีปแอฟริกา รวมถึงในประเทศไทยเองด้วย ใบฟักทองอุดมไปด้วยธาตุสังกะสี เหล็ก แคลเซียม และยังมียอดฟักทองที่ให้วิตามินเอสูงมาก และเนื่องจากวิตามินเอละลายในน้ำมัน การผักยอดฟักทองกับน้ำมันจึงเหมาะสมที่สุด เพราะร่างกายจะดูดซึมได้ดี

ผลฟักทอง
เป็นทรงแบน สีเขียวเข้ม เนื้อในสีเหลืองส้ม ผลฟักทองเป็นที่นิยมในการประกอบเป็นอาหารชนิดต่างๆไปทั่วโลก เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีการนำไปอบ ย่าง บดใส่ซุป ในบราซิลและแอฟริกามักทำเป็นซุป ในญี่ปุ่นนำมาทำเป็นเทมปุระ ซึ่งก็คือการชุบแป้งทอด และในประเทศไทยบ้านเรามีการนำมาประกอบอาหารหลากหลาย ทั้งผัดใส่ไข่ แกงเผ็ดฟักทอง

น้ำจากเนื้อฟักทองช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้
จากงานวิจัยในจีน พบว่าน้ำตาลโพลีแซคคาไรด์จากโปรตีนในเนื้อฟักทองมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ น้ำตาลชนิดนี้ละลายได้ในน้ำคั้นผลฟักทอง นักวิทยาศาสตร์ได้ทดสอบกับหนูที่เป็นเบาหวาน ได้ผลออกมาว่าระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น น้ำตาลในเลือดลดลง อีกทั้งยังเพิ่มการทนต่อกลูโคส และยังพบอีกว่า สารสกัดน้ำตาลชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสมนั้นดีกว่าปริมาณที่ต่ำเกินไปและดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยาเบาหวานอีกด้วย

เมล็ดฟักทอง
มักทานเป็นอาหาร ขนมขบเคี้ยว ด้วยการคั่ว อุดมไปด้วยแร่ธาตุเหล็ก สังกะสี โพแทสเซียม แมกนีเซียม กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายชนิดต่างๆ

น้ำมันเมล็ดฟักทอง
มักใช้ในการปรุงอาหารในแถบประเทศยุโรปตะวันออก และยุโรปตอนกลาง น้ำมันเมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินอี กรดไขมันไม่อิ่มตัว น้ำมันเมล็ดฟักทองก็มีประโยชน์หลายอย่าง สามารถป้องกันต่อมลูกหมากโต ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีประสิทธิภาพมากในผู้ป่วยเบาหวาน ลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอล ช่วยบรรเทาโรคปวดข้อเข่า และยังใช้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เต้านม ปอด ลำไส้ใหญ่อีกด้วย

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ผักบ้านๆ มีคุณประโยชน์มากมายที่หลายคนคาดไม่ถึง


พืชผักทางการเกษตรของประเทศไทย ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็สามารถหากินได้อย่าง สะดวกสบาย แต่เพื่อนๆ เคยรู้กันหรือไม่ ? ว่าพืชผักที่ปลูกหลังบ้าน หรือ ข้างริมรั้ว ของเรานั้น มันมีประโยชน์มากแค่ไหน ทำไมผักบ้างชนิดที่หาง่ายในบ้านเราถึงเป็นที่ต้องการสูงในต่างประเทศ


1. ชะพลู ผักบ้านๆ ที่หากินกันได้ทั่วไป ซึ่งมีสรรพคุณในเรื่อง ขับลม แก้อาการท้องอืด บำรุงธาตุ ขับเสมหะ สำหรับประโยชน์ของชะพูลในเรื่องสุขภาพ ได้แก่ ใบชะพลูมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณมาก ซึ่งช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยในการมองเห็น ป้องกันโรคตาบอดตอนกลางคืน แก้โรคตาฟาง ช่วยในการขับถ่าย เนื่องจากมีเส้นใยในปริมาณมาก และใบชะพลูมีรสเผ็ดร้อน ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ชะพลูยังมี วิตามินเอและธาตุแคลเซียมในปริมาณสูงเป็นพิเศษ มีธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส คลอโรฟิลล์ เส้นใยอีกด้วย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายแทบทั้งสิ้น


2. ผักปลัง เป็นผักที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย เช่น มีแคลเซียมและธาตุเหล็กสูง อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซี นิยมใช้ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกอ่อน นำมาลวกหรือต้มให้สุก ใช้รับประทานร่วมกับน้ำพริก สำหรับคุณประโยชน์ที่ยอดอ่อน ใบอ่อน ดอกอ่อน ของผักปลัง มีสารเบตาแคโรทีนที่ช่วยบำรุงดวงตา และยังมีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารช่วยป้องกันมะเร็ง ทั้งต้นของผักปลังมีรสเย็น ช่วยขับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้อาการร้อนใน ทำให้เลือดเย็นขึ้น ช่วยแก้อาการท้องผูก ยอดอ่อนหรือใบยอดอ่อนสดจะมีเส้นใย ช่วยหล่อลื่นลำไส้ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ที่เหมาะสำหรับเด็กและสตรีตั้งครรภ์ เมื่อนำมาต้มรับประทานเป็นอาหารจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้


3. ย่านาง เป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี ธาตุแคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เบต้าแคโรทีนในปริมาณค่อนข้างสูง สำหรับสรรพคุณของย่าน่างมีหลากหาย ได้แก่ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้ รวมไปถึงช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงได้อีกด้วย


4. ผักกูด เป็นผักที่มีรสจืดอมหวานและกรอบ ยอดอ่อนและใบอ่อนนิยมนำมาบริโภค โดยนำมาปรุงเป็นอาหารได้อย่างหลากหลาย ด้วยการนำมายำ ผัด ทำเป็นแกงจืด แกงเลียง แกงส้ม แกงแคร่วมกับผักชนิดต่าง ๆ สำหรับสรรพคุณของผักกูดมีหลายอย่าง ได้แก่ ช่วยบำรุงโลหิต เนื่องจากผักกูดเป็นผักที่มีธาตุเหล็กมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ผักกูดเป็นผักที่มีเส้นใยอาหารสูงมาก จึงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างดี นอกจากนี้ในผักกูดอุดมไปด้วยธาตุเหล็กและเบตาแคโรทีน การรับประทานผักกูดร่วมกับเนื้อสัตว์จะช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ได้ดีขึ้น และยังช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดีอีกด้วย


5. ผักหวานบ้าน เป็นผักที่มีวิตามินเอมากเป็นพิเศษ ซึ่งวิตามินเอมีประโยชน์กับสายตา มีวิตามินเค ซึ่งมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผลแล้วเลือดออก ทำให้ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างเซลล์กระดูกและเนื้อเยื่อในไต นอกจากนี้ใบผักหวานยังมีสรรพคุณในการแก้บวม แก้หัด ส่วนรากมีสรรพคุณลดอาการบวม รวมไปถึงใช้เป็นยาบำรุงสุขภาพสำหรับสตรีหลังคลอดได้


งั้นมาลองเมนุนี้กันสิคะ แกงผักหวานใส่ไข่มดแดง เมนูพื้นบ้านที่มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย รวมถึงไขข่มดแดงที่มีโปรตีนสูง แกงผักหวานรสชาติหอมกลมกล่อม ซดแล้วโล่งคอ ทานกับข้าวสวยร้อนๆสะคะ อร่อยแน่นอน สนใจหรือสบถามได้ที่ร้านอาหารไทย-อีสาน The Home ที่สุดร้านอาหารไทยบรรยากาศดี ดนตรีเพราะ หลากหลายเมนูอร่อยถนน เลี่ยงเมือง เทศบาลนครอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 085-3113331 เปิดบริการทุกวัน 17:30 - 23:45 น.

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รู้มั้ย!!ชะอมพืชสวนครัวที่มีประโยชน์ แต่ก็มีโทษเหมือนกัน


“ชะอม ”จัดเป็น พืชสวนครัว ที่สามารถปลูกเป็นแนวกั้น มียอดอ่อนให้ตัดกินได้ทุกฤดูกาล เป็นรั้วธรรมชาติที่กินได้ และยังเป็นพืชปลอดสารพิษที่หากินได้ง่าย ราคาไม่แพง ถึงแม้จะมีกลิ่นค่อนข้างแรง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง ประกอบเมนูอาหารได้อย่างหลากหลาย อร่อย แถมยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย

ประโยชน์ของชะอม

1. ชะอมอุดมด้วยวิตามินเอ หากจะตามหาผักที่มีวิตามินเอสูงต้องห้ามมองข้ามชะอมเลยนะ เพราะอุดมด้วยวิตามินเอที่จะช่วยให้เราต่อสู้กับอนุมูลอิสระทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยบำรุงสายตาด้วย

2. ยอดอ่อนของชะอมมีสรรพคุณช่วยลดความร้อนในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนที่เรามักนำมาทำอาหารกินกันมากที่สุด

3. ชะอมมีเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย ทำให้การขับถ่ายเป็นปกติ แก้อาการท้องผูก

4. ประโยชน์ของชะอมช่วยขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ บรรเทาอาการปวดท้องหรือปวดเสียวในท้องได้ดี แก้อาการท้องอืดและท้องเฟ้อ

5. ชะอมช่วยบำรุงเส้นเอ็น อีกหนึ่งสรรพคุณที่โดดเด่นของชะอมคือ ช่วยบำรุงและรักษาเส้นเอ็นให้แข็งแรง ไม่เสื่อมเร็วกว่าที่ควร

6. ชะอมมีแคลเซียมสูง ซึ่งมีความสำคัญต่อกระดูกและฟัน โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยทองที่มีความเสี่ยงจะเกิดภาวะกระดูกพรุนได้ง่าย ถ้าอยากให้กระดูกและฟันแข็งแรงก็ต้องกินชะอมเป็นประจำ


7. ชะอมมีคุณสมบัติช่วยรักษาอาการลิ้นอักเสบและเป็นผื่นแดง

8. ในชะอมมีฟอสฟอรัส ที่ทำหน้าที่ช่วยเสริมให้วิตามินบีต่างๆ ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

9. ชะอมมีธาตุเหล็ก ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยบำรุงเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดเป็นไปอย่างปกติ

10. ชะอมช่วยเสริมสร้างระบบของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง ทำให้กำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย เพราะฤทธิ์ของวิตามินซีที่มีอยู่มากในชะอมนั่นเอง

11. ประโยชน์ของชะอมช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง และลดโอกาสที่จะเกิดโรคหัวใจได้ด้วย เนื่องจากในชะอมมีสารสำคัญที่ชื่อว่า เบต้าแคโรทีน

12. สารเบต้าแคโรทีนในชะอมยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ผ่องใส แลดูอ่อนเยาว์ และป้องกันความแก่ก่อนวัย

13. ชะอมมีสรรพคุณช่วยบำรุงเส้นผม ที่แห้งแตกปลาย ไม่มีน้ำหนัก ให้กลับมานุ่มสลวยได้

14. รากชะอมมีสรรพคุณแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้ อีกทั้งการกินชะอมยังช่วยในการขับลมในกระเพาะและลำไส้ได้อีกด้วย


โทษของชะอม


1. สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรอ่อนๆ ไม่ควรรับประทานผักชะอม เพราะจะทำให้น้ำนมแห้งได้

2. สำหรับคุณแม่ลูกอ่อน จะแพ้กลิ่นของผักชะอมอย่างมาก ดังนั้นควรอยู่ห่างๆ

3. การรับประทานผักชะอมในช่วงหน้าฝน อาจจะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุน บางครั้งอาจทำให้มีอาการปวดท้องได้ ซึ่งปกติคนมักนิยมรับประทานผักชะอมกันในช่วงหน้าร้อน

4. กรดยูริกเป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเกิดมาจากสารพิวรีน (Purine) โดยผักชะอมนั้นก็มีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่จำกัด หากเป็นมากก็ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้ปวดกระดูกได้

5. อาจพบเชื้อก่อโรคอย่าง ซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ อากาศ เมื่อเรานำผักชะอมที่ปนเปื้อนสารชนิดนี้มาประกอบอาหารโดยไม่ล้างทำความสะอาดหลายๆ ครั้ง หรือไม่นำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อชนิดได้ โดยผู้ที่ได้รับเชื้อชนิดอาจจะมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเสียว หรือถ่ายเป็นมูกมีเลือดปน มีไข้ เป็นต้น


สุดท้ายนี้ผักชะอมถือได้ว่าเป็นอาหารที่ทำได้หลากหลายเมนูที่เหมาะกับทุกคนในครอบครัว เช่น ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง แกงส้มชะอมไข่ นำมาลวกหรือนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก น้ำพริกกะปิ รับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงรวมกับปลา เนื้อ ไก่ กบ เขียด หรือต้มเป็นอ่อม ทำแกงลาว แกงแค เป็นต้น

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ทานผักอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด


“ผัก” จัดอยู่ในอาหารหมู่ที่5 คือวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งทั้งที่มีประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย โดยส่วนใหญ่ผักจะอุดมไปด้วย วิตามิน เอ วิตามินบี วิตามินซี โพแทสเซียม แมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัสและอื่นๆขึ้นอยู่กับ ชนิดของผักโดยในบางครั้งกรรมวิธีในการปรุงอาหารก็มีส่วนทำให้สารอาหารในผักเพื่อสุขภาพหลายๆ ชนิดลดลงไปบ้างไม่มากก็น้อย

ผักเพื่อสุขภาพที่ควรรับประทานสด

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรรับประทานสดได้แก่ผักที่มีวิตามินซีสูง เช่นแครอท แตงกวา และมะเขือเทศ โดยนอกจากจะมีวิตามินซีแล้ว ผักต่างๆเหล่านี้ยังมี วิตามินเอ วิตามินบี เหล็ก ฟอสฟอรัส และเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง นอกจากนั้นยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถป้องกันมะเร็งได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามสารอาหารเหล่านี้ก็สามารถสลายไปพร้อมกับการปรุงอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินจะสลายตัวเมื่อได้รับความร้อน ดังนั้นหากรับประทานแบบสดๆ ก็จะได้สารอาหารครบถ้วนมากกว่านำไปปรุงสุกนั่นเอง


แต่ในความเป็นจริงการรับประทานผักสดอาจดูไม่ง่ายนัก เนื่องจากผักสดส่วนใหญ่มักจะมีกลิ่นฉุนและรสชาติเฉพาะตัว ดังนั้นวิธีการรับประทานผักสดให้อร่อยควรรับประทานเป็นสลัด ซึ่งน้ำสลัดและผลไม้ชนิดอื่นๆที่เติมลงไปจะทำให้ผักสดรสชาติดีขึ้น หรืออีกวิธีหนึ่งคือการนำผักและผลไม้มาปั่นรวมกันเป็นเครื่องดื่ม เติมเกลือเล็กน้อยเพื่อปรับรสชาติจากนั้นนำไปแช่เย็นเพื่อให้ได้ความสดชื่น ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ดีทีเดียว

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรทานแบบปรุงสุก

ผักเพื่อสุขภาพ ที่ควรปรุงให้สุกก่อนรับประทาน ส่วนใหญ่จะมีสารเฉพาะตัวที่หากรับประทานสดจะส่งผลเสียกับร่างกายมากกว่าผลดี เช่นในกะหล่ำปลีสดจะมีสารกอยโตรเจน ซึ่งส่งผลต่อการดูดซึมสารไอโอดีนในร่างกาย ดังนั้นหากรับประทานมากเกินไปก็จะส่งผลต่อต่อมไทรอยด์และทำให้เป็นโรคคอพอกได้ ซึ่งสารชนิดนี้นอกจากจะมีกะหล่ำปลีแล้ว ยังสามารถพบในบล็อกโคลี่และผักกาดขาว ซึ่งนิยมนำมารับประทานสดๆคู่กับน้ำพริกอีกด้วยถึงแม้ในทางการแพทย์จะระบุไว้ว่าต้องรับประทานในปริมาณมากถึงจะส่งผลต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด แต่เพื่อความปลอดภัยในระยะยาวก็ควรนำไปปรุงให้สุกเสียก่อนหรือหากชอบรับประทานแบบสดๆก็ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมและรับประทานผักชนิดอื่นร่วมด้วย


อย่างไรก็ตามหลายคนยังคงมีความเชื่อที่ว่าความร้อนจากกรรมวิธีในการปรุงอาหารจะทำให้สารอาหารอาหารหรือวิตามินต่างๆในผักเพื่อสุขภาพสูญเสียไป ดังนั้นหากจำเป็นต้องปรุงผักให้สุกก่อนรับประทานควรใช้ความร้อนน้อยที่สุดและรับประทานทันทีเพื่อคงคุณค่าของสารอาหารให้ได้มากที่สุด และควรใช้วิธีผัดหรือต้มแทนการลวกเนื่องจากวิตามินที่ออกมาจะยังคงอยู่ในน้ำผัดหรือน้ำแกง ซึ่งหากเรานำมาราดข้าวหรือซดร้อนๆก็จะยังคงได้รับสารอาหารที่ค่อนข้างครบถ้วนอยู่


จะเห็นได้ว่าผักแต่ละชนิดมีวิธีในการรับประทานต่างกัน หากอยากรับประทานให้ได้สารอาหารครบถ้วน ก็ควรเลือกชนิดของผักและวิธีการรับประทานให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้เราก็จะได้ทานผักเพื่อสุขภาพ ที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับร่างกายและดีต่อสุขภาพของเราในทุกๆ วัน ทุกๆ มื้ออาหาร วันนี้เราได้นำเมนูอาหารที่อร่อยและมีประโยชน์มาฝากค่ะ นั่นก็คือผัดผักกาดขาวกุ้งสด เป็นเมนูผัดผักอร่อยๆ ผักกาดขาวสดๆกรอบๆ กุ้งสดตัวโตๆ หน้าตาน่ารับประทาน รสชาติอร่อยกลมกล่อม เป็นเมนูเด็ดประจำร้านเดอะโฮมของเราเลยค่ะ ลองมาทานกันนะคะ ที่ร้านเดอะโฮม

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

🍐🍐ส้มโอ คุณประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าม🍐🍐


ส้มโอ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ citrus maxima เป็นไม้ที่มีขนาดลำต้นจัดอยู่ในขนาดกลางจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับส้ม ถือได้ว่า เป็น ผลไม้ เศรษฐกิจของไทยในด้านการส่งออกจัดเป็นผลไม้โอท๊อปของดีของภาคตะวันออกของไทย ส้มโอพันธ์ที่นิยมปลูกและพบทั่วไปตามท้องตลาดจะมีพันธ์ทองดี ขาวน้ำผึ้ง ขาวใหญ่ ขาวพวง ส้มโอจัดอยู่ในกลุ่มให้สารอาหารจำพวกวิตามินซีในปริมาณสูงในส้มโออุดมไปด้วยสารอาหารที่มีควาจำเป็นต่อร่างกายมากมายหลักก็มี คาร์โบไฮเดรต วิตามินc b2 b3 b6 แคลเซียม ธาตุเหล็ก เป็นต้น ส้มโอที่เห็นว่าสามารถรักษาสารอาหารได้มากขนาดนี้เนื่องจาก ผลของส้มโอมีเปลือกที่หนานั้นเอง นอกจากเนื้อส้มโอแล้ว เรายังสามารถบริโภคเปลือกส้มโอได้อีกด้วย คนสมัยก่อนยังเชื่อว่าเปลือกของส้มโอ สามารถรักษาเหาได้อีกด้วย ในทางจีนส้มโอจัดเป็นผลไม้มงคลใช้ในงานพิธีสำคัญๆส้มโอสามารถนำมาใช้ทำอาหาร เครื่องดื่ม และสกัดมาทำเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย ไม้แพ้ผลไม้สกุลเดียวกันอย่าง ส้ม เรามาดูสรรพคุณทางการแพทย์กันนะคะ


สรรพคุณทางยาและการรักษาทางการแพทย์

ผล ของส้มโอมีประโยชน์ในด้านการขับลมในกระเพราะอาหารบำรุงสายตาและช่วยลดกรดไหลย้อนได้ในส่วน

ดอก ของส้มโอหากรับประทานสดจะช่วยลดอาการปวดกระเพาะอหาร ปวดกระบังลม ขับลมในท้อง ขับเสมหะ

เปลือก ของส้มโอเอามาตำใช้พอกแผลที่เป็นหนอง เป็นฝีเพราะจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและถ้าเอามารับประทานจะช่วยในเรื่องอาการจุกอัดแน่นอกและใช้ขับลมขับเมหะได้อีกด้วย เมล็ดในของผลส้มโอ จะมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการใส้เลื่อน และลำไส้หดตัวผิดปกติ

ราก จะช่วยรักษาอาการไอ เป็นหวัด แก้อาการปวดของท้องน้อยและถ้าหากท่านเป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเลือดออกตามไรฟันส้มโอช่วยท่านได้เพราะในส้มโอมีวิตามินสูงที่จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างเหงือกและยังมีแคลเซียมที่จะช่วยให้ฟันแข็งแรงอีกด้วย


ส้มโอต้านมะเร็ง

ส้มโอเมื่อรับรับประทานผลเข้าไปนอกขากจะได้รถชาติที่อร่อยแล้วคุณรู้ไหวว่าในขาดบริโภคคุณยังได้รับการป้องกันโรคมะเร็งจากการรับประทานอีกด้วยเพราะในแตงโมมีสารอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งเซลล์เมร็งที่กำลังจะก่อตัวได้อีกด้วยและในส้มโอยังสามารถชำระล้างสารพิษตกค้างในรjางกาย

ผิวสวยตาใสด้วยส้มโอ

หากคุณผู้หญิงท่านใดกำลังมองหาผลไม้ที่จะช่วยให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงเปล่งปลั่ง วันนี้จะมาแนะนำส้มโอโอโดยเฉพาะเปลืกเพราะในโบราณผู้หญิงสมัยก้อนได้เอาเปลือส้มโอมาทาหน้าทำให้ผิวผ่องใสและยังให้ดวงตาดูใสอีกด้วยเพราะอย่างที่เรารู้กันดีว่าส้มโอดอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่ววยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรงและเปล่งปลัง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงสมัยก่อนจึงดูหน้าใส เพราะผู้หญิงสมัยก่อนไม่ได้พึ่งสารเคมีที่มีสารทำให้ตกค้างบนใบหน้านั้นเองและเจ้าวิตามินนี้เองที่ไปบำรุงสารตาทำให้ดวงตาดูใสสุขภาพดวงตาดูแข็งแรง

ช่วยป้องกันโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

ในส้มโอนั้นอุดมไปด้วยวิตามันซี ซึ่งในวิตามินซีที่พบในส้มโอ สามารถลดความเสี่ยงการเกิดโรค UTI หรือโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบให้กับเราอีกด้วย

ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

โพแทสเซียม คือ สารที่ช่วยควบคุมระดับความมดันเลือดภายในร่างกายเรา และยังคอยกำจัคอลเลสเตอรอลที่ไม่ดีค่อร่างกายเราออกมาด้วย ซึ่งถ้าในร่างกายเรามีโพแทสเซียมอยู่ไม่เพียงพอ ก็อาจเกิดปัญหาหัวใจตามมาทีหลังก็เป็นได้ ซึ่งในส้มโอสามารถให้สารที่จำเป็นต่อร่างกายเหล่านี้แก่เราได้ค่ะ


ส้มโอ ตามตำราไทยแล้วเป็นส่วนสำคัญของเครื่องหอมและเป็นผลไม้ที่ใช้เส่นไหว้ ส้มโอเป็นพืชตระกูลเดียวกับส้มที่มีคนบริโภคอาจจะไม่มมากนักเพราะปัจจุบันมีผลผลิตลดลงและมีราคาแพงขึ้นแต่ อย่างไรก็ตามจากประโยชน์และสรรพคุณแล้วไม่สามารถมองข้ามได้เลย สุดท้ายนี้เรามีเมนูอาหารมาฝากกันอีกตามเคยค่ะ นั่นก็คือเมนูยำส้มโอนั่นเองค่ะ ยำส้มโอเป็นเมนูอาหารที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์จาดส้มโอและเครื่องเทศ รสชาติจะได้ความเปรี้ยวจากส้มโอ ส่วนน้ำยำจะออกหวานนำเมื่อนำมายำกับเนื้อส้มโอที่มีรสเปรี้ยว ก็จะได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัวมากๆค่ะ สุขภาพดีหาได้ด้วยการใส่ใจดูแลตนเองนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ถั่วพู ผักดีๆที่หลายคนมองข้าม


ถั่วพู เป็นพืชผัก อีกประเภทหนึ่งที่คนไทยนิยมปลูกไว้บริเวณบ้าน นอกเหนือจากการนำมาประกอบอาหารแล้ว ทุกส่วนของพืชชนิดนี้ยังสามารถนำมาทำประโยชน์ได้ทั้งหมด เรียกว่าเป็นทั้งผักและสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อด้านสุขภาพร่างกายมากมายทีเดียว

มารู้จักถั่วพูกันเถอะ

ถั่วพูเป็นพืชล้มลุก ลำต้นเล็กสีเขียวมักเลื้อยพันกับต้นไม้หรือวัสดุอื่นๆ ในส่วนของใบจะเป็นใบประกอบ โดยมีใบย่อย 3 ใบ โคนใบกลมและส่วนปลายแหลมเป็นรูปใบหอก ดอกสีขาว ม่วง สีน้ำเงิน แดง ออกดอกเป็นช่อ ช่อหนึ่งจะมีดอกอยู่ประมาณ 3-12 ดอก มีกลีบเลี้ยง ผลเป็นฝักแบนมีพูหรือปีกบนฝัก 4 ปีก มีสีเขียว ม่วง เหลือง มีทั้งผิวหยาบและเรียบ 1 ฝักจะมีเมล็ดอยู่ประมาณ 8-20 เมล็ด เมล็ดมีรูปทรงกลม มีสีขาว น้ำตาล ครีม เหลือง รากที่เป็นส่วนที่อยู่ใต้ดินจะสะสมอาหาร ซึ่งจะมีปมอยู่ใต้ดินจะมีเชื้อไรโซเบียมอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นพืชที่ปลูกง่ายเจริญเติบโตได้กับดินทุกชนิด ยกเว้นในดินที่มีน้ำขัง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีใช้เมล็ดหรือเพาะกล้า


ประโยชน์ของถั่วพู

1. ช่วยบำรุงกำลัง สำหรับคนที่มีอาการอ่อนเพลียหรืออ่อนล้า การรับประทานฝักอ่อนหรือจะนำเมล็ดแก่ไปตากแห้งมาบดแล้วชงกับน้ำร้อนเพื่อดื่มก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ช่วยให้สดชื่นขึ้น เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้

2. ช่วยให้ฟันแข็งแรง เพราะในถั่วพูมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณสูง เมื่อรับประทานเป็นประจำจะช่วยให้ฟันแข็งแรงขึ้น แถมยังดีต่อการบำรุงกระดูกได้พร้อมกันด้วย

3. ช่วยลดไข้ แก้ร้อนใน ถั่วพูเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น นอกจากจะช่วยลดไข้ คลายอาการครั่นเนื้อครั่นตัวได้แล้ว ยังสามารถแก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้

4. มีไขมันอิ่มตัวที่ดีกับร่างกาย ในถั่วพูหากสกัดเพื่อเอาน้ำมันมาใช้ จะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันพืช เพื่อประกอบอาหาร น้ำมันจากถั่วพูไม่ก่อให้เกิดคอเลสเตอรอลในเลือด ทำให้ไม่เสี่ยงกับการเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ นอกจากนี้ ยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอไม่ให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพเร็ว รับประทานบ่อยๆ ในปริมาณที่พอเหมาะจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย

5. ป้องกันโรคมะเร็ง ถั่วพูมีคุณสมบัติช่วยลดการแบ่งเซลล์ของมะเร็งหรือป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง จึงสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม และส่งผลดีต่อฮอร์โมนเพศหญิง

6. มีกากใยช่วยระบายท้อง ถั่วพูมีใยอาหารสูง หากนำมารับประทานไม่ว่าจะเป็นแบบดิบหรือสุกกับการทำเป็นเมนูอาหารต่างๆ เช่น ลวกจิ้มน้ำพริก ยำ แกง เป็นดั่งยาระบาย ช่วยให้การขับถ่ายสะดวก หากเป็นราก สามารถนำมาใช้ทำเป็นยา จะสามารถช่วยแก้อาการปวดมวนท้อง โดยให้รสชาติขมเล็กน้อย

7. ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม หากรับประทานถั่วพูเป็นประจำจะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมเพื่อนำไปใช้ได้มากถึง 40-50% เพราะในถั่วพูมีสารขัดขวางกระบวนการดูดซึมที่ต่ำนั่นเอง ซึ่งนอกจากการดูดซึมแคลเซียมที่ทำได้ดีแล้ว ย่อมส่งผลทำให้กระบวนการดูดซึมสารอาหารชนิดอื่นๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย


ส่วนต่างๆ ของถั่วพู ที่นำมาใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพ

ถั่วพูในส่วนต่างๆ ก็สามารถนำไปทำเป็นยาได้ โดยพบได้ในตำรายาโบราณ ซึ่งเป็นการใช้พืชผักสวนครัวมาเป็นยารักษาโรคได้อย่างเห็นผล สำหรับส่วนต่างๆ ที่มักนำมาใช้เป็นยาก็มีดังนี้

ราก ใช้มาต้มดื่ม เพื่อแก้อาการร้อนในตับ หรือหากมีอาการบวมในคอ สามารถใช้รากถั่วพูฝนกับสุราแล้วนำมาดื่ม อีกทั้งรากยังจะช่วยแก้โรคลมพิษ แก้อาการปวดท้องและรักษาสิวกับโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย

หัว สามารถนำมาใช้เป็นยาชูกำลัง แก้อาการอ่อนเพลียของผู้ป่วย โดยนำหัวถั่วพูหั่นตากแห้ง คั่วไฟให้เหลือง ชงกับน้ำร้อนแล้วนำมาใช้ดื่มเหมือนน้ำชา สำหรับบุคคลทั่วไปสามารถนำมาต้มหรือเผารับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งเมนูนี้อาจจะแปลกสำหรับคนไทย แต่กลับเป็นที่นิยมสำหรับชาวพม่ามานานแล้ว และก็นับเป็นยาบำรุงกำลังอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

เมล็ด ให้คัดเอาเมล็ดถั่วพูมาต้มกินเพื่อบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง และช่วยเพิ่มกำลังได้พร้อมกัน วิธีคือ นำเมล็ดถั่วพูมาคัด แต่ต้องคัดเอาแต่เมล็ดแก่ที่เป็นสีน้ำตาลเข้มเท่านั้น ต้มให้สุกแล้วกรองเอาน้ำมาดื่ม หรือนำมาบดก่อนก็ได้ โดยดื่มก่อนทานอาหาร 3 เวลา ก็จะช่วยบำรุงสุขภาพได้เป็นอย่างดี

ข้อควรระวังในการรับประทานถั่วพู

เนื่องจากถั่วพู เป็นพืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนสูงจากธรรมชาติ และถึงแม้จะสามารถนำถั่วพูมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนก็ตาม แต่ในทุกส่วนของถั่วพูกลับมีสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ทริปซิน ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถย่อยสลายโปรตีนหรือย่อยได้น้อยลง ดังนั้น จึงไม่ควรกินถั่วพูดิบมากจนเกินไป แต่ควรนำมาต้มให้สุกเสียก่อนก็จะได้ประโยชน์ทางสารอาหารอย่างเต็มที่ และไม่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวได้แล้ว

ถั่วพูจัดเป็นพืชผักที่มีดีเหนือกว่าพืชตระกูลถั่วทุกชนิด เพราะทุกส่วนของถั่วพูล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอย่างแท้จริง จนนับว่าเป็นพืชใกล้ตัวที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร พร้อมสรรพคุณทางยาครบถ้วนชนิดที่ไม่ควรมองข้ามกันเลยทีเดียว











วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

กระเทียมของดีมีประโยชน์ อย่าเขี่ยทิ้ง!!


กระเทียม...สรรพคุณเขาไม่ธรรมดา เพราะกระเทียมสดเป็นอาหารหรือเครื่องเทศที่เปี่ยมไปด้วยสารพฤกษเคมีที่ได้จากพืชเท่านั้น และยังมีสารโดดเด่นประจำตัวที่หากินไม่ได้จากอาหารชนิดไหน เรียกได้ว่าต้องกินกระเทียมเท่านั้นแหละถึงจะได้คุณค่าทางสารอาหารเหล่านี้ไป และใครอยากรู้ว่าประโยชน์ของกระเทียมช่วยลดความเสี่ยงโรคอะไรได้บ้าง เลื่อนลงมาอ่านข้างล่างได้เลย

กระเทียม (ภาษาอังกฤษ: Garlic ชื่อวิทยาศาสตร์: Allium sativum Linn) ในการทำกับข้าวในแต่ละมื้อนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ขาดไม่ได้เลย อาหารมื้อไหนถ้าไม่ได้ใส่ ก็จะทำให้อาหารนั้นขาดรสชาติ ไม่อร่อย กระเทียมมีประโยชน์มากมาย หลายประการ และยังเป็นสมุนไพร ที่สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้อีกด้วย กระเทียมมีสรรพคุณใช้ในการรักษากลากเกลื้อน และอีกหลายๆ อย่าง มาดูกันเลยครับ

ประโยชน์ของกระเทียม

ประโยชน์ทางตรง

ใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหาร แกงทุกชนิด ผัด ทอด เป็นต้น การทำอาหารทุกอย่างจะต้องมีกระเทียม เป็นส่วนประกอบ จะขาดไม่ได้


ประโยชน์ทางอ้อม

กระเทียมมีสรรพคุณเป็นยาใช้ในการรักษาโรค กระเทียมมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรา การที่เราทานอาหารทุกมื้อนั้น จะมีกระเทียมอยู่ และเป็นยาไปในตัวอีกด้วย กระเทียมยังสามารถรักษาแผลที่เน่าเปื่อย ที่เป็นหนอง ขจัดพิษสารตะกั่ว และยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคเบาหว่านได้อีกด้วย

1. ลดไขมัน ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

สารสำคัญที่พบเฉพาะในกระเทียมเท่านั้นคือสารอัลไลซิน ซึ่งเป็นสารที่มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ไม่เกิน 10% ของคอเลสเตอรอลทั้งหมดในร่างกาย จึงสามารถบอกได้ว่ากระเทียมมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจได้ส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ และพฤติกรรมของแต่ละบุคคลด้วยที่จะบ่งชี้ได้ว่าความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจมีอยู่มาก-น้อยแค่ไหน

2. บรรเทาอาหารหวัด

ในตำรับยาสมุนไพรไทยบอกไว้ว่า กระเทียมมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการหวัด เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส อีกทั้งกระเทียมยังเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ช่วยขยายทางเดินหายใจ ทำให้หายใจสะดวกขึ้น


ทั้งนี้กระเทียมยังมีฤทธิ์ช่วยลดอาการอักเสบ กระเทียมจึงเป็นสมุนไพรอีกตัวที่ช่วยบรรเทาอาการไอแบบมีเสมหะได้ โดยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแก้ไอมากขึ้น แนะนำให้ใช้กระเทียมและขิงสดอย่างละเท่ากัน ตำละเอียดแล้วละลายกับน้ำอ้อยสด เสร็จแล้วคั้นจนได้น้ำสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดมาจิบแก้ไอ ขับเสมหะ และทำให้เสมหะแห้ง หรือจะคั้นกระเทียมกับน้ำมะนาว แล้วเติมเกลือใช้จิบหรือกวาดคอก็ได้

3. ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

กระเทียมเป็นพืชที่มีไฟเบอร์อยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำและไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ ซึ่งไฟเบอร์ที่อยู่ในกระเทียมมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ แต่ทั้งนี้ควรกินกระเทียมสดที่ยังไม่ถูกการปรุงสุก เพราะความร้อนจะลดคุณค่าทางสารอาหารในกระเทียม ส่งผลให้สรรพคุณของกระเทียมลดน้อยลง

4. ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียด

มีการวิจัยพบว่ากระเทียมมีสาร Gastroenteric allechalcone ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของลำไส้จึงช่วยลำเลียงอาหารในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้เกิดการขับลม ลดอาการแน่นท้อง จุกเสียดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อยได้ อีกทั้งเมื่อรับประทานกระเทียมสดเข้าไปจะช่วยเพิ่มน้ำย่อยและน้ำดีได้อีกด้วย โดยขนาดรับประทานกระเทียมเพื่อขับลมให้ใช้กระเทียมสด 5-10 กลีบ รับประทานหลังอาหารหรือพร้อมอาหาร

5. รักษากลากเกลื้อนที่เกิดจากเชื้อรา

เนื่องจากน้ำมันสกัดจากกระเทียมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย ดังนั้นโรคผิวหนังอย่างกลาก เกลื้อน กระเทียมก็สามารถบรรเทาอาการให้ได้ โดยให้ใช้กระเทียมสด ฝานเป็นแผ่นบาง ๆ ถูบริเวณผิวหนังที่เป็นกลาด เกลื้อน วันละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นให้ขูดผิวด้วยไม้บาง ๆ ที่ทำการฆ่าเชื้อแล้ว (แช่แอลกอฮอล์ 70% หรือต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที) พอให้ผิวเป็นสีแดงอมชมพูแล้วจึงทายารักษากลาก เกลื้อนทับอีกครั้ง วิธีนี้จะช่วยให้ยาซึมลงบนผิวหนังได้ดีขึ้น

6. ลดอาการคัน ลดพิษแมลงสัตว์กัดต่อย

น้ำมันในกระเทียมสามารถนำมาทาลดพิษคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ โดยใช้กระเทียมสดทุบพอมีน้ำออก แล้วนำกลีบกระเทียมมาทาถูจุดที่โดนแมลงสัตว์กัดต่อย


นอกจากนี้กระเทียมยังเป็นสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติซึ่งระบุการใช้กระเทียมในตำรับยาแก้ลมอัมพฤกษ์ ซึ่งมีส่วนประกอบของหัวกระเทียมร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า บรรเทาอาการเหน็บชา เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำว่า ไม่ควรทานกระเทียมสดในปริมาณที่มากเกินไปนะคะ โดยสามารถทานกระเทียมขนาดกลาง ๆ ได้ไม่เกินวันละ 1 หัว เพราะถ้าทานมาก ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดโลหิตจาง หรือภาวะเลือดแข็งตัวช้าได้ ดังนั้นในคนไข้ที่ต้องเข้าผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่ทานยาลดการแข็งตัวของเลือดอยู่ จึงไม่ควรรับประทานกระเทียม

เม็ดแมงลัก สมุนไพรเด็ด ช่วยให้หุ่นสวย สุขภาพดี

เม็ดแมงลัก ไม่ได้มี สรรพคุณ ในการลดน้ำหนักโดยตรง แต่หากต้องการตัวช่วยเพื่อควบคุมการรับประทานอาหาร และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้น เม็ดแมง...